หลวงปู่คำคะนิง จุลมณี วัดถ้ำคูหาสวรรค์ อุบลราชธานี
|
หลวงปู่คำคนิง |
หลวงปู่คำคะนิงท่านมรณภาพมาหลายปีแล้วนอนสงบนิ่งศพไม่เน่าเปื่อยอยู่วัดถ้ำคูหาสวรรค์ อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี สมัยที่หลวงปู่คำคะนิงยังมีชีวิตอยู่ได้เล่าเรื่องพญานาคไว้อย่างน่าสนใจ
หลวงปู่คำคะนิง จุลมณี ท่านเป็นพระนักปฏิบัติที่มุ่งเอาพระนิพพานเป็นที่ไป ท่านรักษาศีลยิ่งกว่าชีวิตดังนั้นคำว่ามุสาเรื่องพญานาคท่านคงไม่มีอย่างแน่นอน หลวงปู่คำคะนิงถูกพวกทหารลาวแดงคอมมิวนิสต์ตามจับเพราะถือว่าเป็นคณะสงฆ์องค์เจ้าเป็นภัยกับคอมมิวนิสต์ ญาติโยมทางเมืองลาวพาหลวงตาคำคะนิงหนีข้ามโขงมาขอให้พระอาจารย์โชติอาภัคโคชวยอุปถัมภ์ค้ำชู ด้วยพระอาจารย์โชติจึงให้ไปอยู่แถบอำเภอโขงเจียมเพราะมีป่าเขาลำเนาไพรอุดมสมบูรณ์ เหมาะสำหรับเเสวงวิเวกเจริญจิตภาวนาตามอัธยาศัย เงื้อมผาป่าหินและเถื่อนถ้ำหลายแห่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่พระกรรมฐานรุ่นก่อนเคยอยู่มาแล้วเป็นต้นว่าสัมเร็จลุน,สัมเร็จตัน,ท่านพ่อธรรมบาล,หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล, หลวงปู่มั่น ภูริทัตโตหลวงพ่อพระมหาทองรัตน์ฯลฯ
หลวงปู่คำคะนิงได้เลือกเอาเงื้อมที่ภูเขาแห่งหนึ่งแถวๆบ้านด่านริมฝั่งแม่น้ำโขงเป็นที่พักอาศัยเจริญภาวนาใช้ชื่อว่าถ้ำคูหาสวรรค์ หลวงปู่คำคะนิงท่านอยู่เงียบๆรูปเดียวไม่เกี่ยวข้องกับใครใช้ชีวิตอย่างสมถะสันโดษ มีความสุขอยู่กับการเจริญกรรมฐานภาวนา เป็นพระที่มีเมตตาพรหมวิหารสูงมีชาวบ้านเลื่อมใสไม่น้อย
หลายปีผ่านไปหลวงปู่คำคะนิงได้ทราบข่าวจากคำเล่าลือของชาวบ้านแลพระธุดงค์ว่ามีถ้ำอยู่ถ้ำหนึ่งมีชื่อว่า ถ้ำมืด ตั้งอยู่ใกล้กับภูเขาปังซึ่งอยู่ในฝั่งประเทศไทยในเขตอำเภอโขงเจียมจังหวัดอุบลราชธานี เป็นถ้ำที่มีความลึกลับมากเพราะชาวบ้านเชื่อว่าเป็นเมืองลับแลหรือเป็นที่อยู่ของชาวบังบด ถ้ำมืดนี้เป็นถ้ำที่มีความศักดิ์สิทธิ์มากเพราะมีเหล็กไหลที่ชาวเมืองลับแลหวงแหนกันมาก ซึ่งวันดีคืนดีถ้าใครมีวาสนาหลงเข้าไปในถ้ำเมืองลับแลแห่งนี้จะได้รับแก้วแหวนเงินทองหรือไม่ก็ได้พระพุทธรูปทองคำไปบูชาที่บ้านกัน ลึกลงไปในถ้ำมืดเป็นนครเร้นลับใต้พิภพคือเมืองบาดาลของพญานาค อยู่ใต้แม่น้ำโขงเป็นเมืองใหญ่โตมโหฬาร ถ้าเข้าไปจากถ้ำทางฝั่งไทยจะลอดไปใต้แม่น้ำโขงเป็นอุโมงค์ใหญ่และมีทางแยกไปสลับซับซ้อนคล้ายรวงผึ้งสามารถทะลุขึ้นฝั่งโขงด้านประเทศลาว อุโมงค์บางสายทะลุไปออกแก่งลี่ผีสีทันดรซึ่งมีระยะทางนับร้อยกิโล คือเลยสถานที่แม่น้ำมูลไหลไปตกแม่น้ำโขงและเลยไปอีกนิดหนึ่งก็จะถึงแก่งมฤตยู ที่มีก้อนหินระเกะระกะจนเกิดเป็นน้ำตกกลางลำแม่น้ำโขงที่มีน้ำไหลเชี่ยวและลึกมาก
หลวงปู่คำคะนิงได้ออกเดินสำรวจดูด้วยตาในถ้ำมืดก็ไม่พบ ท่านจึงได้หามุมสูงบนก้อนหินก้อนหนึ่งภายในถ้ำ แล้วนั่งสมาธิเข้าฌานตามลำดับเพื่อตรวจสอบทางใน และท่านก็ได้เห็นในมิติปรากฏสว่างจ้าขึ้นตรงมุมถ้ำด้านหนึ่งเห็นคล้ายแผ่นกระจก ในผนังถ้ำนั้นมีบ่อน้ำหินและมีหินก้อนหนึ่งคล้ายจระเข้ ในนิมิตท่านยังรับรู้ด้วยว่าได้มีผู้อนุญาตให้ท่านข้ามไปหรือลดใต้ท้องจระเข้หินไปได้ หลวงปู่คำคะนิงจึงไปตามที่นิมิตบอกคือ เข้าไปในถ้ำได้พบหินย้อยลงมาคล้ายหลืบฉากเล็กๆ เป็นซอกมุมทำเลพิกลมีรูขนาดคนธรรมดาสามารถมุดคลานเข้าไปได้ทีละคน
ต่อมาหลวงปูได้ออกจากสมาธิแล้วได้จุดเทียนเล่มใหญ่เทียนที่หลวงปู่เคยนำไปจุดเข้าถ้ำเพื่อเดินสำรวจดูภายในถ้ำ หลวงปู่ได้จุดเทียนเล่มใหญ่แล้วมุดคลานเข้าไปในโพรงดำมืดนั้นประมาณ 200 วาก็ทะลุออกถ้ำซึ่งมีความกว้างประมาณ5วาและมีเพดานสูงพอสมควร ในเพดานถ้ำก็มีหินย้อยจากเพดานสีขาวหม่นๆมีทั้งแอ่งน้ำใสปานกระจกและมีหินคล้ายรูปจระเข้
หลวงปู่คำคะนิงได้เดินลุยลงไปในน้ำแล้วข้ามจระเข้หินตัวที่ขวางหน้าอยู่แล้วคลานมุดเข้าไปในปากอุโมงค์ดำมืดนั้น อุโมงค์มีลักษณะลาดต่ำลงไปยาว30วาเห็นจะได้ และไปทะลุอโมงค์อีกด้านหนึ่งซึ่งตรงกลางมีพญางูใหญ่ตัวเท่าลำตาลชูคอขึ้นสูงท่วมหัวหลวงปู่ นัยน์ตาของมันเปล่งประกายคล้ายแสงมรกตอย่างน่าสะพรึงกลัวยิ่ง แต่หลวงปู่ท่านเล่าว่าท่านไม่รู้สึกกลัวและหวาดหวั่นอะไร มันแต่ก็ขนลุกซู่อยู่ตลอดเวลาและไม่ตั้งตนอยู่ในความประมาทหรือพยายามระงับจิตใจให้มั่นคง เป็นสมาธิอยู่เสมอและท่านก็กล่าวออกมาดังๆว่า อาตมาภาพถือสัจจะที่เข้ามานี้เพื่อขอมาชมดูสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในบ้านเมืองของท่านเท่านั้นเพื่อจะได้เป็นบุญวาสนาไม่หวังจะเอาทรัพย์สินอะไรทั้งนั้น
กล่าวจบพญางูใหญ่ก็ลดหัวต่ำลงแล้วเลื้อยเข้าไปข้างใน ตัวมันยาวและใหญ่มากหลวงปู่ยังคงยืนงงอยู่เพราะไม่คยปรากฏเห็นเช่นนี้มาก่อน จึงได้ยืนถือเทียนไว้เฉยๆจนกระทั่งพญางูได้เอี้ยวคอหันมาดูหลวงปู่แล้วมันก็ผงกหัว คล้ายๆกับว่ามันจะบอกให้หลวงปู่เดินตามมันเข้าไปด้วยซึ่งหลวงปู่ท่านก็เดินตามอย่างห่างๆ แสงเทียนได้กระทบกับหนังถ้ำจึงเกิดแสงระยิบระยับไปหมด เหมือนกับดาวนับร้อยๆดวงและพอหลวงปู่เดินเข้าไปอีกก็เห็นเพดาน อุโมงค์ข้างบนเป็นหินสีขาวใสกระจายไปทั่ว พอท่านมองขึ้นไปก็เห็นเป็นแม่น้ำไหลเอื่อยจนเห็นท้องฟ้าอยู่เหนือน้ำ ในความรู้สึกของท่านเวลานั้นท่านเข้าใจว่าข้างในก็คงเป็นแม่น้ำโขงอย่างแน่นอน และเวลานี้ท่านก็คงกำลังอยู่ในอุโมงค์แก้วเมืองบาดาลใต้แม่น้ำโขงเป็นแน่
จนกระทั่งมาถึงแม่น้ำสายหนึ่งไหลเอื่อยอยู่ใต้ภิภพซึ่งน้ำก็ไม่ลึก ท่านจึงมองเห็นกรวดทรายและพญางูใหญเลื่อยปราดลงไปในแม่น้ำนั้นแล้วหายวับไปตอหน้าตอตาหลวงปู่ ทันทีส่วนหลวงปู่ก็ได้ขึ้นไปถึงฟากฝั่งตรงข้าม ได้พบกับรอยเท้าของคนที่เพิ่งขึ้นจากน้ำแต่ไม่เห็นตัวถึงหลวงปู่ก็รู้ด้วยจิตของท่านว่า แม่น้ำนี้ศักดิ์สิทธิ์ขวางกั้นด่านชั้นในเข้าสู่เมืองพญานาคใต้ภิภพ
หลวงปู่ได้เดินตามรอยเท้าไปในคูหาอันกว้างใหญ่ไพศาล เป็นรูปโค้งคล้ายท้องฟ้าจำลองแสงสว่างรุ่งเรืองสดใส ทำให้จีวรของหลวงปู่ได้กลายเป็นสีทองไปเลย ภายในคูหาแห่งนี้มีหาเจดีย์องค์ใหญ่เป็นทองคำทั้งแท่งสุกปลั่งอร่ามพร่างพราย รอบๆองค์มหาเจดีย์และมีพระพุทธรูปทองคำตั้งเรียงเป็นชั้นๆ มีกระถางธูปเชิงเทียนสีมรกตขนาดช่วงแขนโอบ ซึ่งภายในกระถางก็บรรจุไปด้วยทรายทองคำ ส่วนเชิงเทียนก็เป็นมณีสีแดง ถัดออกไปเป็นกำแพงแก้วฝังด้วยเพชรเม็ดใหญ่ ๆตามด้วยลายกนกและนอกกำแพงแก้วเป็นมหาวิหารคด และพระอุโบสถสร้างด้วยหินอ่อนประดับลาดลายด้วยเส้นลายทองคำและฝังด้วยแก้วเจ็ดประการ งามรุ่งเรืองน่าอัศจรรย์ยิ่ง ท่านยังได้ไปโอบกอดพระเจดีย์ทองคำเนื้อแน่นหนาทึบเย็นเหมือนน้ำ
หลวงปู่เดินชมบริเวณวัดเลยไปทางสระใหญ่มีดอกบัวมีสนามหญ้าและมีสวนดอกไม้กว้างสดลูกหูลูกตา และก็มีทางเดินปูลาดด้วยแผ่นแก้วสีขาวหม่นสองข้างทาง เป็นสวนผลไม้พอเดินไปถึงเบื้องผาแห่งหนึ่งก็พบบันไดทอดขึ้นไปข้างบน เป็นที่อยู่ของพระฤๅษีมีผมยาวถึงเอวนั่งพิงหมอนขวานใบใหญ่อยู่
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
บั้งไฟพญานาคขึ้นที่โขงเจียมอุบล |
|
|
สถิติผู้เข้าชม
|
ขณะนี้มีผู้เข้าใช้
|
3
|
ผู้เข้าชมในวันนี้
|
1,634
|
ผู้เข้าชมทั้งหมด
|
3,101,569
|
เปิดเว็บ
|
24/11/2556
|
ปรับปรุงเว็บ
|
17/12/2566
|
|
|
|
|
21 พฤศจิกายน 2567
|
อา |
จ. |
อ. |
พ. |
พฤ |
ศ. |
ส. |
| | | | |
1 |
2 |
3 |
4 |
5 |
6 |
7 |
8 |
9 |
10 |
11 |
12 |
13 |
14 |
15 |
16 |
17 |
18 |
19 |
20 |
21 |
22 |
23 |
24 |
25 |
26 |
27 |
28 |
29 |
30 |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|